วันเสาร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2553

อาดาจิ มิซึรุ ตอน4


มาถึงวันนี้อ.อาดาจิ มิซึรุ ก็เข้าสู่วัย 50 แล้ว เขาเขียนการ์ตูน มาเป็นเวลา 30 ปี ฐานะในตอนนี้เรียกว่าเศรษฐีก็ไม่ผิด เขากำลังจะเข้าสู่วัยทอง หลายคนคงสงสัยว่าเขาจะทำอะไรต่อไป อาดาจิบอกว่าเขาจะเขียนการ์ตูน ต่อไปอีก 10 ปี แต่เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าในอีก 10 ปีข้างหน้านั้น สิ่งที่เรียกว่า “การ์ตูน” จะมีลักษณะเป็นอย่างไร เขาบอกว่าเขาจะพอใจมาก ถ้ายังคงมีนิตยสารการ์ตูนวางขาย เขาพอใจมากที่จะเปิดอ่านการ์ตูนไปทีละหน้า เขาไม่ชอบการ”กดปุ่ม”เพื่อที่จะอ่าน ขั้นตอนการเขียนของเขาก็ไม่ใช้ คอมพิวเตอร์เลย และเมื่อถึง 10 ปีข้างหน้านั้นแล้ว ใครๆคงว่าเขาเป็นตาแก่หัวโบราณเป็นแน่ อาจจะหูตาฝ้าฟาง เขาว่าก็ดีนะเขาอยากเป็นตาแก่แบบนั้น เพราะมันดูเงอะๆเงิ่นๆเหมือนตัวการ์ตูนแก่ๆในการ์ตูนของเขาดี.....

วันพุธที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2553

อาดาจิ มิซึรุ ตอน3


ต่อมาในปีค.ศ. 1983 เรื่อง “MIYUKI” ก็ถูกสร้างเป็นการ์ตูนทีวี ตามมาด้วย “NINE” ที่ถูกสร้างเป็นการ์ตูนพิเศษฉายทางทีวี 2 ตอนจบ และต่อมาก็ถูกสร้างเป็นการ์ตูนจอเงิน ต่อมาในปี ค.ศ.1985เรื่อง “TOUCH”ก็ถูกสร้างเป็นการ์ตูนทีวี ออกอากาศเป็นเวลายาวนานถึง 2 ปี ในปีค.ศ. 1986 เรื่อง “รักพลิกล็อค” ก็ถูกสร้างเป็นการ์ตูนทีวี แถมยังถูกสร้างเป็นละครทีวีอีกด้วย

ในปีค.ศ.1983 นั้นอาดาจิได้รับรางวัลนักเขียนการ์ตูนเด็กผู้ชายยอดเยี่ยม จากงานแจกรางวัลนักเขียนการ์ตูนยอดเยี่ยมที่จัดโดยสำนักพิมพ์โชงักกุคังด้วย ซึ่งเรื่องที่ได้รับรางวัลคือ MIYUKI กับ TOUCH

อาดาจิ มิซึรุโด่งดังและร่ำรวยจนสามารถสร้างสตูดิโอของตัวเอง และเขาก็ได้ให้เก็นพี่ชายมาเป็นผู้ดูแลสตูดิโอแห่งนั้นผลงานเรื่องยาวหลังจากนี้ก็มีเรื่อง SLOW STEP , ROUGH, H2,พรอลวนคนอลเวง และล่าสุดกับ KATSU (ที่เพิ่งจบไป) นอกจากผลงานเรื่องยาวเหล่านี้แล้ว อ.อาดาจิยังมีผลงานเรื่องสั้นอีกเยอะแยะมากมาย ถ้ารวมผลงานที่เป็นหนังสือการ์ตูนทั้งหมด อ.อาดาจิ เขียนการ์ตูนออกมาแล้ว 81 เรื่อง อาจไม่มีใครรู้เลยว่าก่อนที่อ.อาดาจิก่อนที่จะมาเขียนการ์ตูนวัยรุ่นอย่างนี้ เขาเคยเขียนการ์ตูนฮีโร่อย่าง “ยอดมนุษย์สายรุ้ง” มาแล้ว การ์ตูนแนวแอ็คชั่น ก็เคยเขียนมาแล้ว สถิติยิ่งใหญ่ที่อ.อาดาจิทำไว้ได้ ก็เช่น ในปี 1990 ฉบับรวมเล่มของการ์ตูนของเขาทุกเรื่อง รวมกันแล้วทำยอดขายไปได้มากกว่า 100 ล้านเล่ม!!

วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2553

อาดาจิ มิซึรุ ตอน2


จนกระทั่งในปี 1970 อาดาจิ มิซึรุ จึงได้มีผลงานชิ้นแรกของตัวเองออกมา ชื่อเรื่อง “คิเอตะบะคุอง” ลงตีพิมพ์ในนิตยสารการ์ตูน “DELUXE โชเน็น SUNDAY” (ปัจจุบันเลิกพิมพ์ไปแล้ว) ซึ่งเป็นที่เดียวกับที่พี่ชายของเขาเป็นนักเขียนอยู่ บางที่เก็นอาจจะช่วยวิ่งเต้นให้ก็เป็นได้ แต่ในช่วงแรก ๆ นี้มิซึรุทำหน้าที่แค่เขียนภาพเท่านั้น ตัวเนื้อเรื่องจะมีทีมผู้เขียนเรื่องของนิตยสารโชเน็นชันเดย์เป็นผู้ดูแลให้และเป็นเวลาถึง 8 ปีที่อาดาจิ มิซึรุทำหน้าที่แค่เขียนภาพให้กับการ์ตูน จนกระทั่งในปีค.ศ. 1978 เขาถึงมีผลงานชิ้นแรกที่ทำทุกขั้นตอนเองหมด ทั้งเขียนภาพและเรื่อง การ์ตูนเรื่องนั้นคือ NINE ได้ตีพิมพ์ในนิตยสารการ์ตูนรายสัปดาห์ “โชเน็น SUNDAY” งานของอาดาจิในช่วงนั้น มีทั้งที่ตีพิมพ์ในนิตยสารการ์ตูนผู้ชายและผู้หญิง เช่นเรื่อง “รักพลิกล็อค” ก็ตีพิมพ์ในนิตยสารการ์ตูนผู้หญิงรายสัปดาห์ “โชโจะคอมมิค” เรื่อง MIYUKI ก็ตีพิมพ์ในนิตยสารการ์ตูนผู้ชายชื่อ “โชเน็น BIG คอมมิค”
อาดาจิ มิซึรุ ประสบความสำเร็จกับการ์ตูนแต่ละเรื่องของเขามาเรื่อยๆ จนมาถึงจุดสูงสุดในปี ค.ศ. 1981 เมื่อเรื่อง “TOUCH” ตีพิมพ์ลงในนิตยสารการ์ตูนผู้ชายรายสัปดาห์ “โชเน็นแม็กกาซีน” ฉบับรวมเล่มของเรื่องนี้ในตอนนั้นมีทั้งหมด 26 เล่มจบ เฉพาะเรื่องนี้เรื่องเดียวทำยอดขายไปได้ 50 ล้านเล่ม!!

อาดาจิ มิซึรุ


อาดาจิ มิซึรุ เกิดเมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ ปี ค.ศ.1951 ที่จังหวัดกุนมะ กรุ๊ปเลือด AB เป็นลูกคนสุดท้องในบรรดาพี่น้องสี่คน(พี่ชาย 2 คน พี่สาว 1คน) ที่บ้านฐานะยากจน ในส่วนของพี่ชายของเขานั้น ตอนที่รู้เรื่องก็ต้องไปทำงานพิเศษหาเงินมาเป็นค่าใช้จ่ายของตัวเอง แล้วพี่ชายที่ดูจะสนิทสนม และดูเหมือนอาดาจิมากที่สุด ก็คือ อาดาจิ เก็น พี่ชายคนรอง อาดาจิ เก็น พอรู้เรื่องเข้า ก็ต้องหางานพิเศษทำด้วยการขายถั่วหมัก ตัวของเก็นเองก็เป็นคนชอบขีด ๆ เขียน ๆ เหมือนกับมิซึรุ และเพราะมิซึรุยังเด็กมาก ขณะที่พี่ชายพี่สาวออกไปหางานพิเศษทำ เขาจะอยู่บ้านวาดรูปเพราะ เขาชอบวาดรูปมาก เก็นกับมิซึรุมีเป้าหมายในชีวิตที่คล้ายกันคืออยากเป็น “นักเขียนการ์ตูน”

อาดาจิ มิซึรุ เริ่มมีผลงานตั้งแต่สมัยเรียนม.ปลายปี 1 เขาเขียนการ์ตูนเป็นช่องๆ สามสี่ช่องจบเรื่อง “มุชิโตะโชเน็น” ลงในนิตยสารการ์ตูนที่ชื่อ COM พอเรียนจบม.ปลาย เขาก็ไปเป็นผู้ช่วยของนักเขียนการ์ตูนชื่อดังในยุคนั้น อ.อิชิอิ อิซามิ (ผู้เขียนการ์ตูนเรื่อง ฮิคารุ 750 ) นั่นทำให้เขาต้องออกจากกุนมะมาอาศัยอยู่ในโตเกียว

ในช่วงนั้นเก็นพี่คนรองก็เบนเข็มมาเป็นนักเขียนการ์ตูนเต็มตัว เขามาพักกับมิซึรุที่โตเกียวเพื่อทำงานเขียนการ์ตูนและผลงานก็ได้รับการยอมรับ เก็นได้เป็นนักเขียนการ์ตูนจริง ๆ โดยเขียนงานให้กับนิตยสารโชเน็นซันเดย์ ของสำนักพิมพ์โชงักกุคัง

ยามาชิตะ คาซึมิ


ยามาชิตะ คาซึมิ เป็นผู้หญิง มีชื่อจริงว่า โคเซะโนริโกะ เกิดเมื่อ 15 ส.ค.2502 ที่เมืองโยโกฮาม่า จ.คานางาวะ เป็นนักเขียนที่ทำงานข้ามสายระหว่างการ์ตูนผู้หญิงกับการ์ตูนผู้ชายได้สบาย โดยผลงานส่วนใหญ่มุ่งกลุ่มนักอ่านในระดับอุดมศึกษาขึ้นไปถึงวัยผู้ใหญ่ คนทำงาน
คาซึมิเริ่มเขียนการ์ตูนอย่างจริงจัง ช่วงที่เริ่มเรียนมหาวิทยาลัย โดยตั้งใจว่าในระหว่างที่เรียนมหาวิทยาลัย ต้องเขียนการ์ตูนให้ได้อย่างน้อย 1 เรื่อง และเรื่องๆ นั้นมีชื่อว่า "โอชิอิเระโมโนงะตะริ" เป็นการ์ตูนผู้หญิงร้อยเปอร์เซ็นต์ แถมยังได้ตีพิมพ์ในนิตยสารการ์ตูนผู้หญิงรายสัปดาห์ชื่อ "มาร์กาเร็ต" จากนั้นจึงเริ่มมีงานเขียนเรื่องยาวตีพิมพ์ในนิตยสารมาร์กาเร็ต เมื่อปี 2523 ชื่อเรื่อง "กลาสซัน ลัลลาบาย"
เธอเขียนการ์ตูนสำหรับเด็กผู้หญิงตั้งแต่นั้นจนถึงปี 2530 แล้วหันมาเขียนการ์ตูนแนวผู้ใหญ่ให้นิตยสารรายเดือนชื่อ "YOUNG YOU" และในต้นปี 2531 จึงเริ่มเขียนการ์ตูนเรื่อง "ป๋าอัจฉริยะ" ลงในนิตยสารผู้ชายการ์ตูนรายปักษ์ชื่อ "COMIC MORNING" ซึ่งเป็นงานที่เธอประสบความสำเร็จมาก
ปัจจุบันคาซึมิมีงานออกมาแล้ว 30 เรื่อง และผลงานล่าสุดคือเรื่องป๋าอัจฉริยะนั่นเอง

ไทโตะ คุโบะ




ไทโตะ คุโบะ หรือนามปากกาว่า คุโบะ ไทเตะ (Kubotite) หรือ ไทเตะ คุโบะ (Tite Kubo) ชื่อจริงคือ โนริอะกิ คุโบะ นักวาดการ์ตูนชาวญี่ปุ่น เกิดเมื่อ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2520 ไทโตะ คุโบะ จบชั้นไฮสคูลจากเมืองฟุชู ในเขตอากิ จังหวัดฮิโระชิมะ คุโบะเริ่มวาดการ์ตูนตั้งแต่สมัยอยู่ไฮสคูล โดยเป็นสมาชิกของชมรมการ์ตูนในโรงเรียน ในการสัมภาษณ์เขาได้เริ่มเข้าประกวดวาดการตูนในนิตยสาร แต่ไม่ได้รางวัล อย่างไรก็ตามความสามารถของเขาก็เตะตาบรรณาธิการนิตยสารการ์ตูน และได้เริ่มเข้าร่วมโปรเจกต์นั้น ไม่นานนักการ์ตูนเรื่องแรกของเขา "Ultra Unholy Hearted Machine" ก็ถูกตีพิมพ์ลงนิตยสารโชเน็นจัมป์รายสัปดาห์ฉบับพิเศษในปี ค.ศ. 1996 และในปี ค.ศ. 1999 เขาก็วาดการ์ตูนเรื่องยาวเรื่องแรกคือ ซอมบี้พาวเดอร์ ได้ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 2000 โดยมีจำนวน 4 เล่มด้วยกัน

ภายหลังเริ่มต้นชีวิตทำงาน คุโบะได้วาดการ์ตูนเรื่องเทพมรณะ หรือ บลีช โดยเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับนักเรียนมัธยมปลายคนหนึ่งได้พบกับยมทูตที่เข้ามาทางหน้าต่างห้องของเขา และได้กลายเป็นตัวแทนยมทูตเพื่อต่อสู้กับวิญญาณชั่วร้าย โดยการ์ตูนเรื่องเทพมรณะได้ลงตีพิมพ์ในโชเน็นจัมป์รายสัปดาห์ในปี ค.ศ. 2001 ในเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม ค.ศ. 2007 ได้มีจำนวนตอนมากกว่า 300 ตอน และถูกทำเป็นแอนิเมชันในปลายปี ค.ศ. 2004 ในปี ค.ศ. 2005 ได้รับรางวัลการ์ตูนยอดเยี่ยมแห่งปีจากงานโชกาคุคัน มังงะ อวอร์ด 2005 และได้มีภาพยนตร์เรื่องแรกของเทพมรณะในวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 2006 และภาพยนตร์เรื่องที่สองในวันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2007

วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553

มาซาชิ คิชิโมโตะ ตอน2


ปี 1981 เค้าเริ่มเรียนรู้การวาดรูป การลงสี การออกแบบเค้าโครงพื้นฐาน เค้าใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆในการวาดรูปต่อวัน ช่วงเวลานั้น ดราก้อน บอล ได้เริ่มฮิตในญี่ปุ่น คิชิโมโต้จึงชอบเสก็ตรูปตัวละครของดราก้อนบอลเป็นอย่างมาก

ปี 1988 ในโรงเรียน ไฮสคูล ที่คิชิโมโต้เรียนอยู่ กินกรรมยามว่างของเค้าซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการวาดรูปก็คือ เบสบอล เค้าคลั่งมากจนกระทั่งไปเข้าชมรมเบสบอล และได้มีการเดินทางไปแข่งกับโรงเรียนอื่น หลายโรงเรียน

ปี 1990 ในปีนี้ คิชิโมโต้ได้ตั้งใจวาดรูปอย่างเอาเป็นเอาตาย เขาพัฒนาอย่างรวดเร็ว และเค้าเริ่มใฝ่ฝันที่จะเป็นนักเขียนมืออาชีพ ตั้งความหวังไว้มากมายแต่ก็ต้องล้มแล้วล้มเล่า

ปี 1993ในที่สุดคิชิโมโต้ ก็ได้ก้าวสู่รั้วมหาวิทยาลัย ด้วยการสอบเข้า และเค้าก็ตระหนักว่า การเขียนการ์ตูนไม่ใช่ว่าจะให้ได้แต่ภาพที่ดีลายเส้นสวยๆ เพียงอย่างเดียว แต่การเป็นนักเขียนที่ดีต้องมีการแต่งเรื่องเก่ง น่าอ่าน ควบคู่ไปกับลายเส้นสวยๆ ถึงจะเป็นการ์ตูนที่มีความน่าติดตาม หลังจากนั้นเค้าจึงพัฒนาปรับปรุงทั้งสองอย่างควบคู่กันไป

ปี 1995 ระหว่างปีที่สองของชีวิตมหาลัย เค้าคว้ารางวัล Hopstep เป็นรางวัลอันซึ่งมอบให้แก่นักวาดการ์ตูนดีเด่น เป็นสิ่งที่น่าจดจำยิ่งของก้าวแรกแห่งการเป็นนักเขียนการ์ตูนอย่างเค้า และแล้วเค้าก็ได้เขียนการ์ตูนชื่อดังที่สร้างชื่อให้กับเค้าครั้งใหญ่ คือ นารูโตะ หนังสือของเค้าถูกตีพิมพ์ในนิตรยาสารการ์ตูนรายสัปดาห์ชื่อ อากามารุ จัมป์ หลังจากนั้นไม่นาน กระแสตอบกลับความมาแรงของแฟนๆนารูโตะก็ทวีคูณ หลังจากนั้นไม่นานเค้าก็ได้จดลิขสิทธิ์กับ นิตยาสารชื่อดัง โชเน็นจัมป์